ประวัติพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร)
พ.ศ. 2395 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวชได้แต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ (สามัญ) ที่พระประสิทธิสุตคุณ
พ.ศ. 2396 ได้ลาสิกขา ถวายตัวเป็นมหาดเล็กเวรศักดิ์ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พ.ศ. 2397 เป็นขุนประสิทธิอักษรสาตร ผู้ช่วยเจ้ากรมพระอาลักษณ์ และว่าที่เจ้ากรมอักษรพิมพการที่ว่างอยู่
พ.ศ. 2411 ตามเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาดังที่ทรงคำนวณไว้ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เลื่อนเป็นขุนสารประเสริฐเป็นผู้ขนานนาม ช้างเผือกและนิพนธ์ฉันท์กล่อมช้างพระเสวตรวรวรรณ รวมนิพนธ์ฉันท์กล่อมช้าง 8 บท ของช้างเผือก 10 ช้าง
พ.ศ. 2412 นิพนธ์หนังสือแบบเรียนภาษาไทย คือ มูลบทบรรพกิจ วาหนิติ์นิกร อักษรประโยค สังโยคพิธาน พิศาลการันต์
พ.ศ. 2413 เป็นหลวงสารประเสริฐ เป็นครูสอนหนังสือไทยที่กรมทหารมหาดเล็ก
พ.ศ. 2414 เป็นอาจารย์ใหญ่คนแรกของโรงเรียนหลวง และเป็นครูสอนหนังสือไทย
พ.ศ. 2418 เป็น “พระศรีสุนทรโวหาร” เจ้ากรมพระอาลักษณ์
พ.ศ. 2422 เป็น 1 ใน 8 กรรมการควบคุมจัดการโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ “โรงเรียนนันทอุทยาน” และเป็นแม่กองตรวจโคลง และร่วมแต่งโคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์เพื่อจารึกบนแผ่นศิลาติดที่เสาระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พ.ศ. 2425 นิพนธ์หนังสืออีกหลายเล่ม ได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา เป็นที่หมายว่าเป็นผู้มีความรู้พิเศษ ต่อมาได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาศรีสุนทรโวหาร ญาณปรีชามาตย์ บรมนารถนิตยภักดี พิริยพาหะ”
พ.ศ. 2426 เป็นพระอาจารย์ถวายอักษรสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า และพระเจ้าลูกยาเธออีกหลายพระองค์ อีกทั้งยังมีงานอื่น ๆ เช่น เป็นองคมนตรีที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เลขานุการสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เลขานุการองคมนตรีสภา กรรมการสอบไล่หนังสือไทยชั้นสูง กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณ กรรมการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ท่านมีผลงานนิพนธ์รวม 33 เรื่อง
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย) สมรสกับคุณหญิงแย้ม มีบุตรธิดา 6 คน
พ.ศ. 2434 ท่านป่วยด้วยโรคชราและถึงแก่อนิจกรรม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2434 สิริอายุ 69 ปี
พ.ศ. 2438 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2438
ณ วัดสเกษ (วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร)
ท่านได้รับคำยกย่องดังนี้
“ศาลฎีกาภาษาไทย” โดยพระราชวรวงศ์เธอพระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.)
“จินตกวีชั้นสูง” โดยสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
“ปราชญ์ภาษาไทย” โดยคนทั่วไปในยุคหลัง